การเก็บภาษี Cryptocurrency ในประเทศไทย

การเก็บภาษี Cryptocurrency

ตาม พรก. การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 ระบุว่า สินทรัพย์ดิจิทัลหากมีกำไรหรือมีผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนจะต้องเสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย ร้อยละ 15 ของกำไร แต่ถ้าหากขาดทุนไม่จำเป็นต้องเสียภาษี อย่างไรก็ตามก็ยังไม่มีกฏหมายข้อใดที่ระบุถึงการจัดเก็บภาษีเงินได้จากคริปโตฯโดยเฉพาะ ทำให้ยังมีช่องโหว่อยู่มากพอสมควร

เราลองมาดูวิธีการคำนวณภาษีในเบื้องต้นกัน

ตัวอย่าง

กรณี : ได้กำไร

คุณลงทุนซื้อเหรียญ ETH (Ethereum) จำนวน 100,000 บาท

กรณี ได้กำไร

ดังนั้น คุณต้องเสียภาษี 7,500 บาท

กรณี : ขาดทุน

คุณลงทุนซื้อเหรียญ ETH (Ethereum) จำนวน 100,000 บาท

กรณี ขาดทุน

จากแผนรูปข้างต้นก็ดูเหมือนจะดูสมเหตุสมผล แต่ถ้าลองมองตัวอย่างอีกมุมหนึ่งคือ

ครั้งที่ 1 คุณลงทุนซื้อเหรียญ ETH จำนวน 100,000 บาท

ขาขึ้น ขายได้กำไร 50,000 บาท

ครั้งที่ 2 คุณนำเงินทุนที่มีในตอนต้น จำนวน 100,000 บาท ไปซื้อ ETH ต่อ

ขาลง ขายขาดทุน 50,000 บาท

กรณีไม่มีการเก็บภาษี กรณีมีการเก็บภาษี
ครั้งที่ 1 ได้กำไร 50,000 บาท

มีเงินรวม 150,000 บาท

ครั้งที่ 2 ขาดทุน 50,000 ไม่ต้องเสียภาษี

มีเงินรวม 50,000 บาท

รวมเทรด 2 ครั้ง  ครั้งที่ 1 – ครั้งที่ 2 = 100,000 บาท

พอหักล้างกันจะเห็นได้ว่าเหลือต้นทุนเท่าเดิม

ครั้งที่ 1 ได้กำไร 50,000 บาท ต้องเสียภาษี 7,500 บาท

เหลือเงินรวม 150,000 – 7,500 = 142,500 บาท

ครั้งที่ 2 ขาดทุน 50,000 ไม่ต้องเสียภาษี

มีเงินรวม 50,000 บาท

รวมเทรด 2 ครั้ง  ครั้งที่ 1 – ครั้งที่ 2 = 92,500

พอหักล้างกันจะทำให้ขาดทุน 7,500 บาท

ดังนั้น นักลงทุนส่วนใหญ่จึงคิดว่าการเก็บภาษีแบบนี้ยังไม่สมเหตุสมผลเท่าที่ควร เพราะปกติการเทรดแต่ละครั้ง เรามักจะมีการเทรดแบบถัวเฉลี่ยเพื่อเป็นการลดความเสี่ยงในการขาดทุน การเทรดแบบถัวเฉลี่ยนี้แสดงว่าจะมีการซื้อขายหลายครั้ง ส่งผลทำให้ต้องเสียภาษียิบย่อยตามการขายนี้ด้วย