ในโลกของการลงทุนและการซื้อขายอนุพันธ์ เช่น ฟิวเจอร์ส (Futures) และออปชั่น (Options) มีคำศัพท์หลายคำที่สำคัญในการวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน หนึ่งในคำที่นักลงทุนมือใหม่และมืออาชีพควรทำความเข้าใจคือ “Open Interest” หรือที่เรียกว่า “สถานะคงค้าง” คำนี้มีความสำคัญในการประเมินสภาพตลาด และสามารถให้ข้อมูลที่มีประโยชน์ในการตัดสินใจลงทุน
ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับ Open Interest (OI) ว่าคืออะไร วิธีการคำนวณ และบทบาทของมันในการวิเคราะห์ตลาดการลงทุน
Open Interest คืออะไร?
Open Interest (OI) หรือสถานะคงค้าง หมายถึงจำนวนของสัญญาซื้อขายที่ยังไม่ได้ถูกทำการชำระบัญชี (settled) หรือปิดสถานะ (closed) ในตลาดอนุพันธ์ เช่น ฟิวเจอร์ส หรือ ออปชั่น เมื่อพูดง่าย ๆ ก็คือ จำนวนของสัญญาซื้อขายที่ยังคงเปิดอยู่ ณ เวลาหนึ่ง ซึ่งหมายความว่านักลงทุนยังคงมีการเปิดสถานะในการซื้อหรือขายสินทรัพย์นั้นๆ
ในกรณีของฟิวเจอร์สและออปชั่น จำนวน OI จะถูกอัพเดตและปรับเปลี่ยนทุกวัน โดยการเพิ่มหรือการลด OI จะขึ้นอยู่กับจำนวนการเปิดหรือการปิดสัญญาซื้อขายในแต่ละวัน หากมีนักลงทุนเปิดสัญญาซื้อขายใหม่ OI จะเพิ่มขึ้น แต่ถ้ามีการปิดสัญญาหรือทำการชำระบัญชี OI จะลดลง
Open Interest กับ Volume แตกต่างกันอย่างไร?
หลายคนมักจะสับสนระหว่างคำว่า “Open Interest” (OI) และ “Volume” (ปริมาณการซื้อขาย) ทั้งสองคำนี้เป็นข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์ตลาด แต่มีความแตกต่างในหลายประการ
- Open Interest (OI) คือจำนวนของสัญญาซื้อขายที่ยังคงเปิดอยู่ในตลาด ซึ่งไม่ว่าจะมีการซื้อขายหรือไม่ การเปิดสัญญาใหม่จะทำให้ OI เพิ่มขึ้น
- Volume (ปริมาณการซื้อขาย) คือจำนวนของสัญญาซื้อขายที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งจะนับทุกการซื้อขายในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นการเปิดหรือปิดสัญญา
การวิเคราะห์ OI และ Volume ร่วมกันสามารถช่วยให้เห็นภาพรวมของตลาดได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น หาก OI เพิ่มขึ้นพร้อมกับ Volume ที่สูง แสดงว่าอาจมีความสนใจจากนักลงทุนที่เพิ่มขึ้นในสินทรัพย์นั้น ๆ ซึ่งสามารถบ่งชี้ถึงแนวโน้มการเคลื่อนไหวของราคาในอนาคต
การคำนวณ Open Interest
การคำนวณ Open Interest ไม่ได้ซับซ้อน โดยทั่วไปแล้วในตลาดอนุพันธ์ เช่น ตลาด SET50 Futures การเปิดสถานะของนักลงทุนทั้งสองฝ่ายจะมีผลต่อการคำนวณ Open Interest (OI) ซึ่งหมายถึงจำนวนสัญญาที่มีสถานะค้างอยู่ในตลาด ณ เวลาหนึ่ง โดยไม่ถูกปิดหรือชำระสิ้นสุด หากเราพิจารณาตัวอย่างของนาย เอก และนาง แก้ว ที่ทำการเปิดสถานะในตลาด SET50 Futures ในราคาที่เท่ากัน แต่ในจำนวนที่แตกต่างกัน จะได้รายละเอียดดังนี้
ตัวอย่างที่ 1: นายเอก กับนางแก้ว เปิดสถานะจับคู่กันพอดี
- นาย เอก เปิดสถานะ Long SET50 จำนวน 2 สัญญา
- นาง แก้ว เปิดสถานะ Short SET50 จำนวน 2 สัญญา
ในกรณีนี้ สัญญาทั้ง 2 สัญญาของนายเอก และ 2 สัญญาของนางแก้ว จะทำการ จับคู่กัน ซึ่งหมายความว่า มี OI ทั้งหมด 2 OI เท่านั้น เพราะ OI จะนับเฉพาะจำนวนสัญญาที่มีการจับคู่ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย (Long กับ Short) และเป็นสัญญาที่ค้างอยู่ในตลาดโดยยังไม่ถูกปิดหรือชำระ
ตัวอย่างที่ 2: นายเอก เปิดสถานะ Long 2 สัญญา แต่ไม่จับคู่กับสถานะของนางแก้ว
- นาย เอก เปิดสถานะ Long SET50 จำนวน 2 สัญญา
- นาง แก้ว เปิดสถานะ Short SET50 จำนวน 1 สัญญา
ในกรณีนี้ จะเห็นว่า จำนวนสัญญาที่มีการจับคู่กันมีเพียง 1 สัญญาเท่านั้น ซึ่งหมายความว่า OI จะมีเพียง 1 OI เท่านั้น เพราะ OI จะนับเฉพาะจำนวนสัญญาที่มีการจับคู่ระหว่าง Long และ Short เท่านั้น แม้ว่าในภาคการซื้อขายจะมีการทำธุรกรรมทั้งหมด 3 สัญญา (2 สัญญา Long ของนายเอก และ 1 สัญญา Short ของนางแก้ว) แต่ OI จะถูกนับแค่สัญญาที่สามารถจับคู่ได้ ซึ่งในกรณีนี้คือ 1 สัญญา
จึงกล่าวได้ว่า
- OI (Open Interest) จะนับเฉพาะจำนวนสัญญาที่มีการจับคู่ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย (Long กับ Short) ซึ่งยังไม่ถูกปิดหรือชำระ
- Volume หรือจำนวนสัญญาที่ทำการซื้อขายจะนับทุกสัญญาที่มีการทำธุรกรรมในระหว่างวัน ไม่ว่าจะเป็น Long หรือ Short
- ในกรณีที่นายเอก เปิดสถานะ Long 2 สัญญา และนางแก้ว เปิดสถานะ Short 1 สัญญา จำนวน OI จะมีเพียง 1 OI เท่านั้น เนื่องจากมีการจับคู่ได้เพียง 1 สัญญาเท่านั้น แม้จะมี Volume ทั้งหมด 3 สัญญาก็ตาม
ความสำคัญของ Open Interest ในการวิเคราะห์ตลาด
Open Interest (OI) เป็นเครื่องมือที่สำคัญสำหรับนักลงทุนในการประเมินสภาพตลาด เนื่องจาก OI สามารถบอกเราหลาย ๆ สิ่งเกี่ยวกับตลาดในขณะนั้น ต่อไปนี้คือลักษณะการใช้งานของ OI ในการวิเคราะห์ตลาด
1. ช่วยบ่งชี้ทิศทางของตลาด
การเปลี่ยนแปลงของ OI สามารถบ่งชี้ถึงแนวโน้มของตลาดได้ หาก OI เพิ่มขึ้นและราคาสินทรัพย์ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ตลาดอาจจะมีแนวโน้มที่จะขึ้นต่อไป ในทางกลับกัน หาก OI เพิ่มขึ้นแต่ราคาหดตัวลง ตลาดอาจจะทะลุหลุดแนวรับแล้วลงต่อก็ได้
2. บ่งบอกถึงสภาพคล่องของตลาด
Open Interest ที่สูงมักจะบ่งชี้ถึงสภาพคล่องที่ดีในตลาด การมี OI สูงหมายความว่ามีจำนวนสัญญาซื้อขายที่เปิดอยู่มาก ทำให้สามารถซื้อขายได้ง่ายขึ้น โดยไม่ทำให้ราคาของสินทรัพย์เคลื่อนไหวมากเกินไป ดังนั้น นักลงทุนที่มองหาความคล่องตัวในการซื้อขายอาจต้องการลงทุนในตลาดที่มี OI สูง
3. ช่วยคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของราคา
การติดตาม Open Interest ร่วมกับการวิเคราะห์ราคา สามารถช่วยให้คาดการณ์ทิศทางของตลาดได้
4. บ่งชี้การเปลี่ยนแปลงในความเชื่อมั่นของนักลงทุน
การลดลงของ OI อาจบ่งชี้ว่า นักลงทุนกำลังลดความเสี่ยงหรือมีการปิดสถานะ ซึ่งอาจหมายถึงการขาดความเชื่อมั่นในตลาด ณ ช่วงเวลานั้น ในทางตรงกันข้าม หาก OI เพิ่มขึ้นในช่วงที่มีการปรับตัวขึ้นของราคา อาจบ่งชี้ว่ามีความเชื่อมั่นจากนักลงทุนที่เพิ่มขึ้น
วิธีการใช้ Open Interest ในการตัดสินใจลงทุน
นักลงทุนสามารถใช้ข้อมูลของ Open Interest เพื่อช่วยในการตัดสินใจในหลาย ๆ ด้าน ตัวอย่างเช่น
- การเข้าและออกจากตลาด: หาก OI เพิ่มขึ้นพร้อมกับราคาที่สูงขึ้น อาจเป็นสัญญาณของตลาดที่มีแรงซื้อขายสูงและเป็นช่วงที่น่าสนใจในการเข้าซื้อ ส่วนนักลงทุนที่มองหาการออกจากตลาดอาจพิจารณาจากการลดลงของ OI
- การติดตามความเสี่ยง: หาก OI ลดลงในตลาดที่มีความผันผวนสูง นักลงทุนอาจพิจารณาปรับพอร์ตการลงทุนเพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุนจากการเคลื่อนไหวของราคาในทิศทางที่ไม่คาดคิด
- การหาทิศทางของตลาด: การเปรียบเทียบ OI กับ Volume สามารถช่วยบ่งชี้ว่าการเคลื่อนไหวของราคานั้นเป็นการเคลื่อนไหวที่มีความมั่นคงหรือไม่
สรุป
Open Interest (OI) หรือสถานะคงค้าง เป็นข้อมูลสำคัญที่สามารถใช้ในการวิเคราะห์และตัดสินใจลงทุนในตลาดฟิวเจอร์สและออปชั่น การเข้าใจการทำงานของ OI สามารถช่วยให้นักลงทุนสามารถอ่านสัญญาณจากตลาดได้ดียิ่งขึ้น เช่น การประเมินความสนใจของนักลงทุนในสินทรัพย์ การคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคา และการประเมินความเสี่ยงของการลงทุน การติดตาม OI ร่วมกับการวิเคราะห์ข้อมูลอื่น ๆ เช่น ราคาและ Volume สามารถทำให้นักลงทุนตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในตลาดที่มีความผันผวน