Volatility (ความผันผวน) คืออะไร? ทำความเข้าใจความสำคัญและวิธีการวัดแบบง่ายๆ สำหรับมือใหม่
Volatility หรือ ความผันผวน ในการลงทุนหมายถึง ระดับการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ เช่น หุ้น, ดัชนี, หรือสินทรัพย์ทางการเงินอื่นๆ ภายในช่วงระยะเวลาหนึ่ง หากสินทรัพย์ใดมีความผันผวนสูง หมายความว่าราคาของสินทรัพย์นั้นจะเคลื่อนไหวขึ้นลงมากในช่วงเวลาสั้นๆ ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนต้องระมัดระวังในการตัดสินใจลงทุน
โดยทั่วไปแล้ว ความผันผวน มักใช้เป็นตัวบ่งชี้ถึงระดับความเสี่ยงของการลงทุน หากราคาของสินทรัพย์มีการเปลี่ยนแปลงมากในระยะสั้นๆ นักลงทุนอาจพบความเสี่ยงที่สูงขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็มีโอกาสในการทำกำไรที่มากขึ้นจากการเคลื่อนไหวของราคาที่รวดเร็ว
ทำไมความผันผวนถึงสำคัญ?
- การวัดความเสี่ยง: นักลงทุนใช้ความผันผวนเพื่อประเมินความเสี่ยงของการลงทุนในสินทรัพย์ชนิดต่างๆ หากสินทรัพย์มีความผันผวนสูง แสดงว่าอาจมีความเสี่ยงสูงในการลงทุน
- การตัดสินใจลงทุน: นักลงทุนอาจเลือกสินทรัพย์ที่มีความผันผวนต่ำหากต้องการลดความเสี่ยง หรือเลือกสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงหากต้องการโอกาสทำกำไรที่สูงขึ้น
- กลยุทธ์การลงทุน: ความผันผวนยังเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การลงทุน เช่น นักลงทุนที่ใช้กลยุทธ์ Swing Trading หรือ Day Trading จะให้ความสำคัญกับความผันผวนของราคาเพื่อหาช่องทางทำกำไรระยะสั้น
วิธีการวัด Volatility (ความผันผวน)
มีหลายวิธีในการวัดความผันผวนของสินทรัพย์หลักๆ ที่ใช้กันบ่อย ได้แก่
1. Standard Deviation (ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน)
ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเป็นหนึ่งในตัววัดที่นิยมใช้ในการวัดความผันผวนของราคาสินทรัพย์ในระยะเวลาหนึ่ง วิธีนี้จะวัดการกระจายของราคาจากค่าเฉลี่ย โดยการคำนวณจะช่วยให้เห็นว่า ราคาของสินทรัพย์เคลื่อนไหวห่างจากค่าเฉลี่ยมากน้อยแค่ไหน หากมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานสูง แสดงว่า ความผันผวนสูง และหากต่ำจะหมายถึง ความผันผวนต่ำ
ตัวอย่างเช่น: หากราคาหุ้นมีค่าเฉลี่ยราคา 100 บาท และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 5 บาท ก็หมายความว่า ราคาของหุ้นนั้นมีการเปลี่ยนแปลงได้ในช่วง 95-105 บาท ในกรอบความผันผวนที่สมเหตุสมผล
2. Average True Range (ATR)
ATR (Average True Range) เป็นตัววัดที่ช่วยวัดความผันผวนของราคาหุ้นหรือสินทรัพย์ในช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง โดย ATR จะคำนวณความแตกต่างระหว่างราคาสูงสุดและต่ำสุดในแต่ละช่วงเวลาและหาค่าเฉลี่ยของค่าความแตกต่างเหล่านั้น
การใช้ ATR จะช่วยให้นักลงทุนหรือเทรดเดอร์เข้าใจถึงความผันผวนโดยรวมของราคาหุ้นหรือสินทรัพย์ในระยะสั้นๆ ATR นิยมใช้ในการประเมิน การตั้ง Stop Loss หรือ Take Profit เพราะจะช่วยกำหนดระยะห่างที่เหมาะสมระหว่างราคาปัจจุบันและจุดที่ต้องการ
3. Volatility Index (VIX)
VIX หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ดัชนีความผันผวน” เป็นดัชนีที่ใช้วัดความผันผวนในอนาคต โดยจะคำนวณจาก S&P 500 ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ หาก VIX มีค่าสูง แสดงว่า ตลาดคาดการณ์ว่าจะมีความผันผวนมากขึ้นในอนาคต ในทางตรงกันข้าม หาก VIX ต่ำ แสดงว่าความผันผวนในอนาคตจะต่ำ
VIX เป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญในการวิเคราะห์อารมณ์ของนักลงทุนในตลาด เช่น หาก VIX อยู่ในระดับสูงอาจหมายถึงตลาดกำลังกลัว (fear) หรือไม่แน่นอน (uncertainty)
4. Bollinger Bands
Bollinger Bands เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวัดความผันผวนของราคาหุ้นโดยการใช้ ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) และแถบที่อยู่ด้านบนและด้านล่างของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่นั้นๆ แถบบนและแถบล่างจะห่างจากค่าเฉลี่ยตามระดับความผันผวนที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นๆ
หากราคาอยู่ใกล้ แถบบน หมายความว่ามีการเคลื่อนไหวที่แรงและอาจจะเป็นจุดที่ราคาจะปรับตัวลง ในทางตรงกันข้าม หากราคาอยู่ใกล้ แถบล่าง ก็อาจจะหมายถึงราคากำลังจะดีดตัวขึ้น
ประเภทของ Volatility
1. Historical Volatility (ความผันผวนย้อนหลัง)
เป็นการวัดความผันผวนของราคาสินทรัพย์ในอดีต โดยใช้ข้อมูลราคาในช่วงเวลาหนึ่งมาใช้คำนวณ ซึ่งสามารถใช้การคำนวณ Standard Deviation เพื่อประเมินความผันผวนที่เกิดขึ้นจริงในอดีต
2. Implied Volatility (ความผันผวนโดยนัย)
เป็นการวัดความคาดหวังในอนาคตที่นักลงทุนมีต่อราคาของสินทรัพย์ โดยอิงจากราคาของออปชันในตลาด หากนักลงทุนคาดว่าตลาดจะมีความผันผวนสูงในอนาคต ราคาของออปชันจะสูงขึ้น ซึ่งอัตราความผันผวนที่สะท้อนในราคาของออปชันเรียกว่า Implied Volatility (IV)
วิธีการประยุกต์ใช้ Volatility (ความผันผวน) อย่างมีประสิทธิภาพ
การประยุกต์ใช้ Volatility (ความผันผวน) อย่างมีประสิทธิภาพสามารถทำได้หลากหลายวิธีในสาขาการเงินและการลงทุน โดยการใช้เครื่องมือทางการเงินเพื่อการบริหารความเสี่ยงและเพิ่มผลตอบแทนในตลาดที่ไม่แน่นอน
หนึ่งในวิธีการที่นิยมคือการใช้ Volatility ในการจัดการพอร์ตการลงทุน โดยนักลงทุนสามารถใช้ข้อมูลความผันผวนเพื่อปรับการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงแตกต่างกัน เช่น การลงทุนในหุ้นที่มีความผันผวนสูงอาจเหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ดี ขณะที่นักลงทุนที่ต้องการความมั่นคงอาจเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนต่ำ เช่น พันธบัตรหรือลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัยมากกว่า
การใช้ Volatility ยังสามารถช่วยในการทำนายและสร้างกลยุทธ์การเทรดที่มีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น การใช้เทคนิคการซื้อขายในช่วงที่ความผันผวนสูง (volatility breakout) หรือการใช้กลยุทธ์การป้องกันความเสี่ยง เช่น การใช้ตัวเลือก (options) หรือการทำ hedging เพื่อจำกัดการขาดทุนจากความผันผวนที่ไม่คาดคิด
นอกจากนี้ การวัดความผันผวน เช่น การใช้ดัชนี VIX (Volatility Index) สามารถช่วยให้นักลงทุนเข้าใจถึงความตึงเครียดในตลาดและปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่สอดคล้องกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
สรุป
Volatility หรือ ความผันผวน เป็นตัวบ่งชี้สำคัญที่ใช้ในการวัดความเสี่ยงและการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ในตลาดการเงิน ซึ่งมีเครื่องมือหลายตัวที่ใช้ในการวัดความผันผวน เช่น Standard Deviation, ATR, VIX, และ Bollinger Bands โดยทุกเครื่องมือจะช่วยให้นักลงทุนและเทรดเดอร์สามารถประเมินความเสี่ยงและตัดสินใจลงทุนได้ดีขึ้นตามสภาพตลาด การเข้าใจ ความผันผวน และเครื่องมือในการวัดนั้นๆ จะช่วยให้คุณสามารถบริหารความเสี่ยงในการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ