Bank Run หรือการแห่ถอนเงินจากธนาคาร เป็นสถานการณ์ที่ลูกค้าจำนวนมากพากันถอนเงินฝากจากธนาคารหรือสถาบันการเงินพร้อมๆ กันในช่วงเวลาเดียวกัน เนื่องจากความกังวลว่าธนาคารอาจจะล้มละลายหรือมีปัญหาด้านการเงิน แม้ว่าในปัจจุบันจะมีระบบประกันเงินฝากเพื่อคุ้มครองผู้ฝากเงิน แต่ความกลัวที่จะไม่สามารถเข้าถึงเงินของตนเองหรือความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินส่วนที่เกินวงเงินประกัน มักจะมีน้ำหนักมากกว่าความเชื่อมั่นที่มีต่อสถาบันการเงิน
สาเหตุและกลไกของ Bank Run
Bank Run มักเกิดจากความตื่นตระหนกมากกว่าปัญหาการล้มละลายที่แท้จริงของธนาคาร อย่างไรก็ตาม ความตื่นตระหนกที่นำไปสู่การถอนเงินจำนวนมากสามารถผลักดันให้ธนาคารเข้าสู่ภาวะล้มละลายได้ เนื่องจากในระบบธนาคารแบบสำรองบางส่วน (Fractional Reserve Banking) ธนาคารจะเก็บเงินสดไว้เพียงบางส่วนเท่านั้น โดยนำเงินส่วนใหญ่ไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เช่น
- พันธบัตรรัฐบาล
- สินเชื่อ
- หลักทรัพย์ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกัน
เมื่อลูกค้าถอนเงินมากกว่าปกติ ธนาคารจำเป็นต้องเพิ่มสภาพคล่องโดยการขายสินทรัพย์ บางครั้งต้องขายในราคาที่ต่ำกว่าปกติเพื่อให้ได้เงินสดมาทันที การขาดทุนจากการขายสินทรัพย์เหล่านี้อาจสร้างความกังวลให้กับลูกค้ามากขึ้น จนนำไปสู่การถอนเงินเพิ่มขึ้นเป็นวงจร
ในยุคดิจิทัล Bank Run อาจเกิดขึ้นได้เร็วกว่าในอดีต เพราะลูกค้าสามารถโอนเงินออกจากบัญชีได้ทันทีผ่านช่องทางออนไลน์ โดยไม่จำเป็นต้องไปที่สาขาธนาคาร การถอนเงินแบบเงียบๆ (Silent Bank Run) สามารถเกิดขึ้นได้ผ่านการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ในปริมาณมาก
กรณีศึกษาที่สำคัญ
1. Silicon Valley Bank (SVB)
ในเดือนมีนาคม 2023 SVB ประสบปัญหา Bank Run เมื่อลูกค้าถอนเงินถึง 42 พันล้านดอลลาร์ในวันเดียว หลังจาก CEO ประกาศว่าธนาคารขาดทุนเกือบ 2 พันล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ธนาคารมียอดคงเหลือติดลบ 958 ล้านดอลลาร์ SVB ถูกปิดโดยหน่วยงานกำกับดูแลในวันถัดมา กลายเป็นการล้มละลายของธนาคารที่ใหญ่เป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา
2. Washington Mutual (WaMu)
การล้มของ WaMu ในปี 2008 เป็นการล้มละลายของธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ในช่วง 9 วันก่อนล้มละลาย ลูกค้าถอนเงินรวม 16.7 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 9% ของเงินฝากทั้งหมด ในที่สุด WaMu ถูกขายให้กับ JPMorgan Chase ในราคา 1.9 พันล้านดอลลาร์
การป้องกันและแก้ไขปัญหา Bank Run
1. การประกันเงินฝาก
สถาบันคุ้มครองเงินฝากถูกจัดตั้งขึ้นในปี 2551 เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับระบบธนาคาร โดยรับประกันเงินฝากสูงสุด 1 ล้านบาทต่อผู้ฝากต่อสถาบันการเงิน ตัวอย่างเช่นหากนาย A ฝากเงิน 3 ล้านบาทเอาไว้ในธนาคาร 3 แห่ง แห่งละ 1 ล้านบาท หากทั้ง 3 ธนาคารเกิดล้มละลาย นาย A ก็จะได้เงินคืนจำนวน 3 ล้านบาท
2. มาตรการของธนาคาร
- ชะลอการถอนเงิน: ธนาคารอาจจำกัดวงเงินถอนต่อวันหรือระงับการถอนเงินทั้งหมดชั่วคราว
- กู้ยืมเงิน: ธนาคารอาจกู้ยืมจากธนาคารอื่นหรือธนาคารกลางเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง
- เงินฝากประจำ: สนับสนุนให้ลูกค้าใช้บัญชีเงินฝากประจำที่มีระยะเวลาการฝากแน่นอน เพื่อลดความเสี่ยงจากการถอนเงินฉับพลัน
คำแนะนำสำหรับผู้ฝากเงิน
- กระจายความเสี่ยง: ควรแบ่งเงินฝากไว้หลายธนาคารหากมีเงินเกินวงเงินประกัน
- ตรวจสอบการคุ้มครอง: ทำความเข้าใจระบบประกันเงินฝากและวงเงินคุ้มครอง
- ติดตามสถานะธนาคาร: สังเกตข่าวสารและผลประกอบการของธนาคารที่ใช้บริการ
- เตรียมพร้อมสภาพคล่อง: รักษาวงเงินบัตรเครดิตและเงินสดสำรองไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน
สรุป
แม้ว่าระบบธนาคารในปัจจุบันจะมีความปลอดภัยมากขึ้นกว่าในอดีต แต่ Bank Run ยังคงเกิดขึ้นได้และเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าเดิมจากการถอนเงินดิจิทัล การเข้าใจกลไกและการเตรียมพร้อมรับมือจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ฝากเงินทุกคน ที่สำคัญคือต้องไม่ตื่นตระหนกและรักษาความสมดุลระหว่างความปลอดภัยของเงินฝากกับผลตอบแทนที่ต้องการ